การมีรถยนต์สักคันในยุคนี้ อาจไม่ใช่แค่เรื่องของความสะดวกสบาย แต่ยังเป็นเครื่องมือทำมาหากิน หรือใช้ในยามฉุกเฉินของครอบครัว แต่ปัญหาคลาสสิกที่หลายคนเจอคือ “รายได้” หรือ “เครดิต” ของเราคนเดียว อาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะทำให้ไฟแนนซ์อนุมัติสินเชื่อรถยนต์ หรืออาจได้วงเงินไม่พอสำหรับรถรุ่นที่อยากได้ ทางออกที่หลายคนนึกถึงก็คือ “ออกรถ กู้ร่วม” ครับ แต่เดี๋ยวก่อน การดึงใครสักคนเข้ามามีภาระหนี้ร่วมกับเรา มีทั้งข้อดีและข้อที่ต้องคิดหนักๆ วันนี้เรามาแจกแจงกันทีละข้อครับ
“กู้ร่วม” คืออะไร ทำงานยังไง?
พูดแบบเข้าใจง่ายๆ การกู้ร่วม (Joint Loan) คือการที่เรา (ผู้กู้หลัก) ไปชวนอีกคนหนึ่ง (ผู้กู้ร่วม) มาเซ็นสัญญาขอสินเชื่อก้อนเดียวกัน โดยธนาคารหรือสถาบันการเงิน (ไฟแนนซ์) จะนำรายได้และพิจารณาเครดิตของคนทั้งคู่มารวมกัน เพื่อประเมินความสามารถในการผ่อนชำระ
เป้าหมายหลักคือ เพื่อให้โปรไฟล์ของเรา “แข็งแรง” ขึ้นในสายตาของไฟแนนซ์ ทำให้พวกเขามั่นใจที่จะปล่อยสินเชื่อให้เราครับ
ใครบ้างที่สามารถ “ออกรถ กู้ร่วม” กับเราได้?
ไม่ใช่ว่าเราจะชวนใครมากู้ร่วมก็ได้นะครับ ไฟแนนซ์ส่วนใหญ่มีกฎเกณฑ์ชัดเจนว่าผู้กู้ร่วมต้องมีความสัมพันธ์ที่ “แน่นแฟ้น” กับผู้กู้หลัก เพราะมันคือภาระผูกพันระยะยาว โดยทั่วไป ได้แก่
- คู่สมรส: คนที่จดทะเบียนสมรส (หรือบางสถาบันการเงินอาจรวมถึงคู่สมรสไม่จดทะเบียน หรือคู่ชีวิต LGBTQ+ ด้วย ขึ้นอยู่กับนโยบาย)
- ครอบครัวสายเลือดตรง: พ่อ, แม่, พี่, น้อง (ร่วมสายเลือดเดียวกัน)
- ญาติ: บางแห่งอาจอนุโลมถึง ลุง ป้า น้า อา ที่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์และความช่วยเหลือกันได้
สิ่งสำคัญ: ผู้กู้ร่วมต้องมีคุณสมบัติที่ดีด้วยนะครับ เช่น มีรายได้ประจำที่ชัดเจน และไม่มีประวัติเสียด้านเครดิตบูโร (หรือถ้ามีก็ต้องปิดจบไปนานแล้ว)
เปิดข้อดี ทำไมคนถึงเลือก “กู้ร่วม” ออกรถ
การกู้ร่วมมีประโยชน์ที่ชัดเจนมาก โดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือมีภาระผ่อนอย่างอื่นอยู่บ้าง
- โอกาสอนุมัติผ่านง่ายขึ้น: นี่คือเหตุผลหลักเลยครับ การรวมรายได้ 2 คน ทำให้ไฟแนนซ์เห็นว่าเรามีความสามารถในการผ่อนไหว โอกาสที่จะโดนปฏิเสธสินเชื่อก็น้อยลง
- ได้วงเงินสูงขึ้น: เมื่อรายได้รวมสูงขึ้น ก็มีโอกาสที่เราจะขอวงเงินสินเชื่อได้มากขึ้น ทำให้สามารถเลือกซื้อรถยนต์ในรุ่นที่สูงขึ้น หรือลดเงินดาวน์ลงได้
- อาจช่วยให้ผ่อนสบายขึ้น (ในบางกรณี): เมื่อได้วงเงินที่เหมาะสม อาจช่วยให้เราเลือกขยายระยะเวลาผ่อนได้ง่ายขึ้น ทำให้ยอดผ่อนต่อเดือนไม่ตึงมือเกินไป
ข้อควรคิดหนัก! จุดที่ต้อง “ระวัง” ก่อนตัดสินใจกู้ร่วม
จุดนี้ “เงินให้ใจ” อยากให้คุณอ่านช้าๆ และคิดตามให้ดีครับ เพราะการกู้ร่วมคือการเอาอนาคตทางการเงินไปผูกกับอีกคน
- “หนี้” นี้เป็นของ “เราทั้งคู่”: ไม่ว่าใครจะเป็นคนขับจริง ใครจะเป็นคนผ่อนหลัก แต่ในระบบเครดิตบูโร “หนี้ก้อนนี้จะปรากฏในประวัติของทุกคนที่กู้ร่วม”
- ถ้าคนหนึ่งเบี้ยว อีกคนต้องรับผิดชอบ: นี่คือเรื่องใหญ่ที่สุดครับ หากผู้กู้หลักเกิดปัญหาทางการเงิน ผ่อนไม่ไหว ไฟแนนซ์มีสิทธิ์เต็มที่ในการมาทวงหนี้หรือฟ้องร้อง “ผู้กู้ร่วม” ให้ชำระหนี้ทั้งหมดแทน
- เสียประวัติเครดิต (บูโร) ทั้งคู่: หากการผ่อนรถคันนี้มีการค้างชำระ ประวัติเครดิตจะ “เสีย” ทั้งผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทันที
- อนาคตทางการเงินของผู้กู้ร่วม: การที่ผู้กู้ร่วมมีชื่อในหนี้รถคันนี้ จะทำให้ความสามารถในการกู้ซื้อบ้าน หรือทำสินเชื่ออื่นๆ ของตัวเขาเองในอนาคตลดลง (เพราะเขามีภาระหนี้ติดตัวแล้ว)
- ปัญหาความสัมพันธ์: ถ้าวันหนึ่งความสัมพันธ์เปลี่ยนไป เช่น คู่รักเลิกกัน หรือพี่น้องทะเลาะกัน หนี้ก้อนนี้จะยังอยู่ และอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่เคลียร์กันไม่ลงตัวครับ
กู้ร่วม “ออกรถใหม่” กับ กู้ร่วม “รถแลกเงิน” เหมือนหรือต่างกัน?
ประเด็นนี้ต้องแยกกันให้ชัดนะครับ
- กู้ร่วม “ออกรถใหม่” (สินเชื่อเช่าซื้อ): คือการกู้เพื่อ “ซื้อ” รถคันใหม่ที่เรายังไม่ได้เป็นเจ้าของ มักทำเพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้ผ่านเกณฑ์ไฟแนนซ์
- กู้ร่วม “รถแลกเงิน” (สินเชื่อจำนำทะเบียน): คือการที่เรา “มีรถอยู่แล้ว” (รถปลอดภาระ) และต้องการเงินก้อนไปใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือหมุนเวียนธุรกิจ
สำหรับ “สินเชื่อรถแลกเงิน” หรือ “จำนำทะเบียนรถ” แบบที่ เงินให้ใจ (Ngernhaijai) เชี่ยวชาญ การกู้ร่วมอาจไม่จำเป็นเสมอไปครับ เพราะเราใช้ “ตัวรถ” เป็นหลักประกันอยู่แล้ว
ที่ “เงินให้ใจ” เราพยายามทำให้เรื่องเงินเป็นเรื่องง่าย หากคุณเป็นเจ้าของรถยนต์ เรามีทีมที่พร้อมให้คำปรึกษาว่าโปรไฟล์ของคุณคนเดียว สามารถขอสินเชื่อได้วงเงินเท่าไหร่ ทำยังไงให้ผ่านง่าย โดยไม่จำเป็นต้องดึงคนอื่นเข้ามาร่วมรับผิดชอบหนี้ด้วย หากไม่จำเป็นจริงๆ ครับ
คำถามที่พบบ่อย (FAQ) เรื่องการกู้ร่วม
เราได้รวบรวมคำถามยอดฮิตที่ลูกค้ามักจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้ครับ
Q1: กู้ร่วมออกรถ กรรมสิทธิ์รถเป็นของใคร? A: โดยทั่วไป กรรมสิทธิ์ในเล่มทะเบียนรถ (หลังจากผ่อนหมด) จะเป็นของผู้ “ถือกรรมสิทธิ์” ซึ่งปกติคือ “ผู้กู้หลัก” หรือ “ผู้ซื้อ” ที่ระบุในสัญญาเช่าซื้อครับ แต่ “ภาระหนี้” จะเป็นของทุกคนที่ร่วมกู้ครับ
Q2: ผู้กู้ร่วมติดเครดิตบูโร (ติดแบล็กลิสต์) สามารถกู้ร่วมได้ไหม? A: ยากมากครับ ส่วนใหญ่ไฟแนนซ์จะปฏิเสธทันที เพราะจุดประสงค์ของการกู้ร่วมคือการหาคนที่มีเครดิต “ดี” มาช่วย ไม่ใช่หาคนที่มีปัญหามาเพิ่มครับ
Q3: ถ้ากู้ร่วมไปแล้ว วันหนึ่งอยากถอนชื่อผู้กู้ร่วมออก ทำได้ไหม? A: ทำได้ครับ แต่กระบวนการเรียกว่า “การรีไฟแนนซ์ (Refinance)” หรือ “การโอนย้ายหนี้” โดยผู้กู้หลักต้องไปพิสูจน์กับไฟแนนซ์ (หรือไฟแนนซ์ใหม่) ว่าตอนนี้ตนเองมีรายได้มากพอที่จะผ่อนรถคันนี้คนเดียวไหว ซึ่งไฟแนนซ์จะพิจารณาอนุมัติเป็นกรณีไปครับ
Q4: กู้ร่วมซื้อรถไปแล้ว แต่อยากเอารถไป “จำนำทะเบียน” หรือ “รถแลกเงิน” ทำได้ไหม? A: ถ้ากู้ร่วม “ซื้อรถ” แล้วยังผ่อนไม่หมด จะยังนำรถไปจำนำทะเบียนไม่ได้ครับ เพราะเล่มทะเบียนยังอยู่ที่ไฟแนนซ์เดิม แต่ถ้ารถคันนั้น “ผ่อนหมดแล้ว” และในเล่มทะเบียนมีชื่อเจ้าของ 2 คน (กรรมสิทธิ์ร่วม) เวลาจะนำมาขอสินเชื่อรถแลกเงิน ทั้ง 2 คนจะต้องมาเซ็นยินยอมพร้อมกันครับ
“กู้ร่วม” เหมาะกับคุณหรือไม่
การกู้ร่วมออกรถเป็นเครื่องมือที่ดีที่ช่วยให้เราสมหวังในการมีรถ แต่ก็เหมือนดาบสองคมที่ต้องใช้ความระมัดระวัง และต้องอยู่บนพื้นฐานของ “ความไว้ใจ” และ “ความรับผิดชอบ” ร่วมกัน
หากคุณกำลังวางแผนออกรถ และไม่แน่ใจว่าควรกู้ร่วมหรือไม่ ลองประเมินตัวเองก่อนครับว่า ขาดเหลืออีกเท่าไหร่ หรือลองดูรุ่นรถที่เหมาะกับกำลังซื้อของเราคนเดียวไหวก่อนดีไหม
แต่สำหรับใครที่มีรถยนต์อยู่แล้ว และกำลังมองหาเงินทุนหมุนเวียน หรือเงินก้อนฉุกเฉิน “เงินให้ใจ” พร้อมให้คำปรึกษาเรื่อง “สินเชื่อรถแลกเงิน” ครับ เราเน้นความเข้าใจง่าย อนุมัติไว ไม่ซับซ้อน ช่วยให้คุณแก้ปัญหาการเงินได้อย่างสบายใจครับ
สนใจปรึกษาปัญหาการเงิน หรือสอบถามเรื่องสินเชื่อรถแลกเงิน ติดต่อ “เงินให้ใจ” ได้เลยครับ เราพร้อมอยู่เคียงข้างคุณ!
อ่านบทความเกี่ยวกับสินเชื่อรถกระบะเพิ่มเติมได้ ที่นี่

ใส่ความเห็น